แรกเริ่มเดิมทีเกิดจากการที่ Nick Woodman มีความต้องการจะไปเล่นกระดานโต้คลื่น (Surfing) เขามีความต้องการที่จะบันทึกภาพสวย ๆ ของตัวเองและเพื่อนตอนกำลังโต้คลื่น จึงพยายามที่จะพัฒนากล้องที่ใช้แล้วทิ้งมาติดที่ข้อมือ แต่ภาพที่ได้นั้นประสบปัญหามากมาย ตั้งแต่มุมกล้องที่แคบ, น้ำหนัก, รวมถึงคุณภาพที่ได้ จนเขาคิดว่าต้องมีนักโต้คลื่นทั่วโลกที่ประสบปัญหานี้แน่ จึงได้พยายามผลิตกล้องกระดานโต้คลื่นแบบมืออาชีพจึงเป็นที่มาของคำว่า “โกโปร” ซึ่งอันที่จริง Nick Woodman ไม่ได้มีประสบการณ์ทางด้านผลิตสินค้าด้วยซ้ำไป แต่พื้นหลังของเขาคือเจ้าของธุรกิจการตลาดเว็บไซต์ (Web Marketing) ในวัยเพียง 24 ปี
เค้าเริ่มขายในปี 2004 และ เริ่มเติบโตขึ้นเรื่อยๆจากแสนกว่าตัวในปี 2005 เป็น 8 แสนตัวในปี 2006 และทำรายได้เป็นสี่เท่าจากปี 2006 ด้วยรายได้ถึง 3.4 ล้านเหรียญสหรัฐในปี 2007 จากนั้น เค้าเริ่มปรับเทคโนโลยี่ด้วยการพัฒนากล้องที่เรียกว่า GoPro Hero ในห้วงปี 2009-2013 เป็นช่วงที่บูมและเกิดความเป็น Cult Brand เหมือนๆกับที่ RedBullเป็น
GoProเข้าตลาดหลักทรัพย์ด้วยชือ GOPRO ด้วยราคากะเก็งกันว่าราคาจะเริ่มที่ 21-24$ ในวันนั้น 25 มิถุนายน 2014 บริษัท GoPro ที่ชายคนนึงสะสมเงินเล็กๆน้อยๆสร้างบริษัทขึ้นมามีมูลค่า 2.95 พันล้านเหรียญสหรัฐทันที ส่วนนายนิค วูดแมนรวยขึ้นมากลายเป็นคนมีสินทรัพย์ 1.5 พันล้านเหรียญ แต่ไม่ถึง 3 ปีหลังจากนั้น ลางร้ายก็เกิดขึ้นกับ GoPro
2014 ยอดขาย 1.4 พันล้านเหรียญ กำไรขั้นต้น 45% ค่าใช้จ่ายดำเนินการ 440 ล้านเหรียญ Net Profit 128 ล้านเหรีญ เติบโต 41% 2015 ยอดขาย 1.7 พันล้านเหรียญ กำไรขั้นต้น 42% ค่าใช้จ่ายดำเนินการ 618 ล้านเหรียญ Net Profit 36 ล้านเหรีญ เติบโต 16% 2016 ยอดขาย 1.18 พันล้านเหรียญ กำไรขั้นต้น 39% ค่าใช้จ่ายดำเนินการ 835 ล้านเหรียญ Net Profit ขาดทุน 419 ล้านเหรีญ หดตัว 27% 2017 ยอดขาย 1.18 พันล้านเหรียญ กำไรขั้นต้น 32% ค่าใช้จ่ายดำเนินการ 548 ล้านเหรียญ Net Profit ขาดทุน 167 ล้านเหรีญ (ตัวเลขอย่างไม่เป็นทางการ) GoPro มองข้ามความสำคัญของตลาดโลกอย่างมาก [1] ในปี 2014 รายได้ถึง 65% มาจากตลาดอเมริกาเพียงอย่างเดียว ในขณะที่มีรายได้จากยุโรปเพียง 27% และ Asia Pacific ที่กำลังขยายตัวมากเพียงแค่ 9% เท่านั้น เปิดช่องว่างให้คู่แข่งเข้าไปสร้างฐานทางการตลาดในยุโรปและเอเชีย จนโดนแย่งส่วนครองตลาด
กลยุทธ์ที่ประกาศให้ผู้ถือหุ้นทราบ เพื่อหนีตายในต้นปี 2017เพื่อกลับลำเข้าร่องน้ำให้เร็วที่สุด แต่ สุดท้ายก็สายเกินไป กลยุทธ์ที่ประกาศในต้นปี 2017 คือ -เร่งสร้างผลประกอบการให้มีกำไร ด้วยการบริหารงานอย่างมีประสิทธิภาพ ลดต้นทุน -เอา SmartPhone เป็นศูนย์กลางการทำงานของ GoPro โดยที่ไม่ต้องวุ่นวายกับ Micro SD Card หรือ Computer ก็สามารถ Edit และ Upload ได้ทันที -แม้จะเด่นเรื่อง Extreme Outdoor แต่จะเริ่มมุ่งเน้นการใช้งานแบบธรรมดา Indoor และเข้าหากลุ่มมืออาชีพโดยเฉพาะ Drone -เน้นการขยายตัวในตลาดต่างประเทศ เพราะเชื่อว่า Brand ของ GoPro แข็งแกร่งพอที่จะไปต่อได้สบายๆ
ข่าวร้ายต้นปี2018GoPro ประกาศยุติการทำการตลาด Drone และจ้าง JP Morgan มาหาทางเอาบริษัทไปขายให้กับนักลงทุนรายอื่น
ที่มาFB.Executive Summary
ภาพประกอบGoogle

ไม่มีความคิดเห็น: